
สมัครสมาชิกรับข่าวสาร
กรอกอีเมลเพื่อรับข่าวสารอัพเดตใหม่ๆ จากเรา
กรอกอีเมลเพื่อรับข่าวสารอัพเดตใหม่ๆ จากเรา
วัคซีนรักษามะเร็ง
รัสเซียประกาศความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่สำคัญในการรักษามะเร็ง ด้วยการพัฒนาวัคซีน mRNA เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยวัคซีนปฏิวัติวงการนี้มีแผนจะเปิดตัวในต้นปี 2025 และจะแจกจ่ายให้ประชาชนรัสเซียฟรีตามรายงานของสื่อรัฐบาล
วัคซีนเฉพาะบุคคลนี้ใช้สารพันธุกรรมที่ได้จากเนื้องอกของผู้ป่วย และมีต้นทุนต่อโดสประมาณ 300,000 รูเบิล (ประมาณ 2,869 ดอลลาร์สหรัฐ)
ตามที่ Andrey Kaprin หัวหน้าศูนย์วิจัยการแพทย์ด้านรังสีวิทยาของกระทรวงสาธารณสุขเปิดเผย Kaprin กล่าวว่า “วัคซีนนี้มีเป้าหมายเพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ไม่ใช่เพื่อป้องกันการเกิดเนื้องอก”
Alexander Gintsburg ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยระบาดวิทยาและจุลชีววิทยาแห่งชาติ Gamaleya อธิบายถึงกระบวนการที่ซับซ้อนในการผลิตวัคซีนนี้
ปัจจุบันการสร้างวัคซีนเฉพาะบุคคลใช้เวลาค่อนข้างนาน เนื่องจากต้องใช้การคำนวณด้วยวิธีการเมทริกซ์ในทางคณิตศาสตร์ เพื่อออกแบบวัคซีนหรือ mRNA ที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล
เราจึงได้ร่วมมือกับสถาบัน Ivannikov ซึ่งจะใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการคำนวณด้วยเครือข่ายประสาทเทียม ทำให้กระบวนการเหล่านี้ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง Gintsburg กล่าวในบทสัมภาษณ์กับสำนักข่าว TASS
วัคซีนนี้ใช้ส่วนประกอบจากเนื้องอกของผู้ป่วยเพื่อฝึกระบบภูมิคุ้มกันให้รู้จักและโจมตีเซลล์มะเร็ง โดยช่วยให้ร่างกายจดจำโปรตีนเฉพาะที่เรียกว่าแอนติเจน
ซึ่งพบบนพื้นผิวของเซลล์มะเร็ง เมื่อแอนติเจนเหล่านี้ถูกนำเข้าสู่ร่างกาย จะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้ผลิตแอนติบอดีเพื่อโจมตีและทำลายเซลล์มะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อัตราการเกิดมะเร็งในรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2022 มีผู้ป่วยรายใหม่กว่า 635,000 ราย มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปอด เป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศ
วัคซีนใหม่นี้คล้ายคลึงกันในประเทศตะวันตก ในการพัฒนาการรักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคล เช่น ในสหรัฐอเมริกา นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฟลอริดาเพิ่งทดสอบวัคซีนเฉพาะบุคคลกับผู้ป่วย glioblastoma
ซึ่งเป็นมะเร็งสมองชนิดรุนแรง ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ แสดงให้เห็นว่าวัคซีนกระตุ้นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันอย่างรวดเร็วภายในสองวันหลังการฉีด
ขณะเดียวกันในสหราชอาณาจักร นักวิทยาศาสตร์กำลังทดลองวัคซีนเฉพาะบุคคลสำหรับมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา ซึ่งเป็นชนิดที่ร้ายแรงที่สุด ผลการทดลองในระยะแรกบ่งชี้ว่าอัตราการรอดชีวิตเพิ่มขึ้น
แหล่งข้อมูล businesstoday.in